พระราชบัญญัติ แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา (ฉบับที่ ๓๓) พ.ศ. ๒๕๖๒



พระราชบัญญัติ
แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา (ฉบับที่ ๓๓)
พ.ศ. ๒๕๖๒
สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร
ให้ไว้ ณ วันที่ ๑๗ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๖๒
เป็นปีที่ ๔ ในรัชกาลปัจจุบัน
             สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร มีพระราชโองการโปรดเกล้าฯ
ให้ประกาศว่า
             โดยที่เป็นการสมควรแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
             จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชบัญญัติขึ้นไว้โดยคาแนะนาและยินยอมของ
สภานิติบัญญัติแห่งชาติทาหน้าที่รัฐสภา ดังต่อไปนี้

             มาตรา ๑ พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า “พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมาย
วิธีพิจารณาความอาญา (ฉบับที่ ๓๓) พ.ศ. ๒๕๖๒”

             มาตรา ๒ พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษา
เป็นต้นไป

             มาตรา ๓ ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นมาตรา ๑๖๕/๑ และมาตรา ๑๖๕/๒ แห่งประมวล
กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
            “มาตรา ๑๖๕/๑ ในคดีที่มีอัตราโทษประหารชีวิต หรือในคดีที่จาเลยมีอายุไม่เกินสิบแปดปี
ในวันที่ถูกฟ้องต่อศาล ในการไต่สวนมูลฟ้องตามมาตรา ๑๖๕ ถ้าจาเลยมาศาลเมื่อใด และจาเลย
ไม่มีทนายความ ก็ให้ศาลตั้งทนายความให้
             ในคดีที่มีอัตราโทษจาคุก ในการไต่สวนมูลฟ้องตามมาตรา ๑๖๕ ถ้าจาเลยมาศาลเมื่อใด
ให้ศาลถามจาเลยว่ามีทนายความหรือไม่ ถ้าไม่มีและจาเลยต้องการทนายความ ก็ให้ศาลตั้งทนายความให้
             ให้ศาลจ่ายเงินรางวัลและค่าใช้จ่ายแก่ทนายความที่ศาลตั้งตามมาตรานี้ โดยคานึงถึงสภาพแห่งคดีและสภาวะทางเศรษฐกิจ ทั้งนี้ ตามระเบียบที่คณะกรรมการบริหารศาลยุติธรรมกาหนดโดยความเห็นชอบจากกระทรวงการคลัง
             มาตรา ๑๖๕/๒ ในการไต่สวนมูลฟ้อง จาเลยอาจแถลงให้ศาลทราบถึงข้อเท็จจริงหรือ
ข้อกฎหมายอันสาคัญที่ศาลควรสั่งว่าคดีไม่มีมูล และจะระบุในคาแถลงถึงตัวบุคคล เอกสาร หรือวัตถุที่
จะสนับสนุนข้อเท็จจริงตามคาแถลงของจาเลยด้วยก็ได้ กรณีเช่นว่านี้ ศาลอาจเรียกบุคคล เอกสาร
หรือวัตถุดังกล่าวมาเป็นพยานศาลเพื่อประกอบการวินิจฉัยสั่งคดีได้ตามที่จาเป็นและสมควร โดยโจทก์
และจาเลยอาจถามพยานศาลได้เมื่อได้รับอนุญาตจากศาล”

              มาตรา ๔ ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นวรรคสองของมาตรา ๑๖๗ แห่งประมวลกฎหมาย
วิธีพิจารณาความอาญา
             “คำสั่งของศาลที่ว่าคดีมีมูลให้แสดงข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายพร้อมเหตุผลประกอบ
ตามสมควรด้วย”

              มาตรา ๕ ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็น (๔) และ (๕) ของวรรคหนึ่งของมาตรา ๑๗๒ ทวิ
แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
              “(๔) จาเลยไม่อาจมาฟังการพิจารณาและสืบพยานได้เนื่องจากความเจ็บป่วยหรือมีเหตุจาเป็น
อย่างอื่นอันมิอาจก้าวล่วงได้ เมื่อจาเลยมีทนายความและจาเลยได้รับอนุญาตจากศาลที่จะไม่มาฟัง
การพิจารณาและสืบพยาน
                (๕) ในระหว่างการพิจารณาและสืบพยาน ศาลมีคาสั่งให้จาเลยออกจากห้องพิจารณาเพราะ
เหตุขัดขวางการพิจารณา หรือจาเลยออกจากห้องพิจารณาโดยไม่ได้รับอนุญาตจากศาล”

               มาตรา ๖ ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นมาตรา ๑๗๒ ทวิ/๑ และมาตรา ๑๗๒ ทวิ/๒ แห่ง
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
               “มาตรา ๑๗๒ ทวิ/๑ ภายหลังที่ศาลได้ดาเนินการตามมาตรา ๑๗๒ วรรคสอง แล้ว
เมื่อศาลเห็นว่าจาเลยหลบหนีหรือไม่มาฟังการพิจารณาและสืบพยานโดยไม่มีเหตุอันสมควร ให้ศาลออกหมายจับจาเลย หากไม่ได้ตัวจาเลยมาภายในสามเดือนนับแต่วันออกหมายจับ เมื่อศาลเห็นเป็นการสมควรเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมที่จะให้การพิจารณาเป็นไปโดยไม่ชักช้า และจาเลยมีทนายความให้ศาลมีอานาจพิจารณาและสืบพยานลับหลังจาเลยได้ และเมื่อศาลพิจารณาคดีเสร็จแล้ว ให้ศาลมีคาพิพากษาในคดีนั้นต่อไป
              การพิจารณาและสืบพยานตามวรรคหนึ่งต้องมิใช่คดีที่มีอัตราโทษประหารชีวิต หรือคดีที่จาเลยมีอายุไม่เกินสิบแปดปีในวันที่ถูกฟ้องต่อศาล
               มาตรา ๑๗๒ ทวิ/๒ ในคดีที่จาเลยเป็นนิติบุคคล ภายหลังที่ศาลได้ดาเนินการตามมาตรา ๑๗๒ วรรคสอง แล้ว เมื่อมีกรณีที่ศาลได้ออกหมายจับผู้จัดการหรือผู้แทนของนิติบุคคลนั้นแล้ว แต่ยังจับตัวมาไม่ได้ภายในสามเดือนนับแต่วันออกหมายจับ และไม่มีผู้แทนอื่นของนิติบุคคลมาดาเนินการแทนนิติบุคคลนั้นได้ เมื่อศาลเห็นเป็นการสมควรเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมที่จะให้การพิจารณาเป็นไปโดยไม่ชักช้า ให้ศาลมีอานาจพิจารณาและสืบพยานลับหลังจาเลยได้ และเมื่อศาลพิจารณาคดีเสร็จแล้วให้ศาลมีคาพิพากษาในคดีนั้นต่อไป”

             มาตรา ๗ ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นมาตรา ๒๕๗ แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
ซึ่งถูกยกเลิกโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา (ฉบับที่ ๒๘)
พ.ศ. ๒๕๕๑
             “มาตรา ๒๕๗ ในคดีซึ่งราษฎรเป็นโจทก์ โจทก์จะต้องเสียค่าใช้จ่ายในการส่งสาเนาคาฟ้อง
และหมายเรียกให้แก่จาเลยโดยค่าใช้จ่ายดังกล่าวจะต้องมีจานวนไม่สูงเกินสมควร”

              มาตรา ๘ บทบัญญัติมาตรา ๑๖๕/๑ มาตรา ๑๖๕/๒ และมาตรา ๑๖๗ แห่งประมวล
กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัตินี้ ไม่ใช้บังคับแก่คดีมีมูลที่ศาล
ได้ประทับฟ้องไว้ตามมาตรา ๑๖๗ ก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ

              มาตรา ๙ ให้ประธานศาลฎีการักษาการตามพระราชบัญญัตินี้

  ผู้รับสนองพระราชโองการ
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา
          นายกรัฐมนตรี




หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ โดยที่บทบัญญัติของกฎหมายเกี่ยวกับ
การไต่สวนมูลฟ้องในปัจจุบันยังไม่เอื้อต่อการคุ้มครองสิทธิของจาเลย เนื่องจากจาเลยอาจไม่มีทนายความคอยช่วยเหลือและไม่สามารถแถลงให้ศาลทราบถึงข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายอันสาคัญที่ศาลควรสั่งว่าคดีไม่มีมูลและในชั้นพิจารณาคดีหากจาเลยไม่มาศาล ศาลไม่สามารถสืบพยานต่อไปได้จนกว่าจะได้ตัวจาเลยมาหรือกรณีที่ไม่มีผู้แทนอื่นของนิติบุคคลมาดาเนินการแทนนิติบุคคลนั้นได้ ซึ่งทาให้เกิดความล่าช้าและส่งผลกระทบต่อหลักการอานวยความยุติธรรมที่รวดเร็วและเป็นธรรม ตลอดจนส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นและความศรัทธาที่มีต่อระบบศาลยุติธรรม สมควรแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาในเรื่องดังกล่าว และโดยที่เป็นการสมควรให้การเรียกเก็บค่าใช้จ่ายในการส่งสาเนาคาฟ้องและหมายเรียกให้แก่จาเลยมีจานวนไม่สูงเกินสมควร จึงจาเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้

กฎหมายเรื่องอื่นๆ อ่านเพิ่มเติม....