กู้ยืมเงิน ทวงหนี้
กฎหมายกำหนดอัตราดอกเบี้ย ดังต่อไปนี้
การกู้ยืมเงินกันเอง หรือที่เรียกกันว่า กู้ยืมเงินกันแบบชาวบ้าน โดยไม่ใช่การกู้เงินกับสถาบันทางการเงิน กฎหมายบังคับให้กำหนดอัตราดอกเบี้ยได้ห้ามเกินตามที่กฎหมายกำหนด คือ
1. กรณีคิดอัตราดอกเบี้ยรายปี ห้ามคิดดอดเบี้ยเกิน ร้อยละ 15 ต่อ ปี
2. กรณีคิดอัตราดอกเบี้ยรายเดือน ห้ามคิดดอกเบี้ยเกิน ร้อยละ 1.25 ต่อ เดือน
หากการกู้ยืมเงินนั้นกำหนดอัตราดอกเบี้ยเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด มีผลให้การคิดดอกเบี้ยนั้นมีผลตกเป็นโมฆะทันที่ ส่วนเงินต้นที่กู้ยืมกันยงคงมีผลสมบูรณ์ หมายความว่า ฟ้องเรียกได้แต่เฉพาะเงินต้นที่กู้ยืมกันจริงๆ แต่จะเรียกดอกเบี้ยไม่ได้
ส่วนสถาบันทางการเงิน เช่น ธนาคาร ไม่อยู่ในบังคับการคิดดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี
สถาบันทางการเงิน กฎหมายให้อำนาจเรียกดอกเบี้ยได้สูงกว่าอัตราร้อยละ 15 ต่อปีได้ แต่ต้องเป็นไปตามประกาศข้อกำหนดของธนาคารซึ่งมีกฎหมายรับรอง
***อ้างตาม พ.ร.บ.ดอกเบี้ยเงินให้กู้ยืมของสถาบันการเงิน พ.ศ.2523 มาตรา 4
คดีอนาจาร คดีข่มขืน ยักยอก ฉ้อโกง
การกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกง ฉ้อโกงประชาชน
ตรวจร่างสัญญา จัดทำสัญญากู้ยืม สัญญาซื้อขาย ฯลฯ
รับจัดตั้งผู้จัดการมรดก พินัยกรรม รับทำคดียาเสพติด
ปล่อยเงินกู้กำหนดอัตราดอกเบี้ยฝ่าฝืนกฎหมาย ถือว่าไม่ใช่ผู้เสียหายโดยนิตินัย ไม่มีอำนาจแจ้งความร้องทุกข์ข้อหาฉ้อโกง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9776/2560
แม้ผู้เสียหายหลงเชื่อคำหลอกลวงของจำเลยทั้งสามที่ขอกู้ยืมเงินโดยอ้างว่าได้กระทำในฐานะที่เป็นกรรมการกองทุนหมู่บ้านจนเป็นเหตุให้ผู้เสียหายมอบเงินกู้ให้จำเลยทั้งสามไปตามฟ้องก็ดี แต่การให้กู้ยืมเงินผู้เสียหายทำสัญญาโดยคิดดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 4 ของเงินต้น ในระยะเวลา 5 วัน คิดเป็นดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 292 ต่อปี ซึ่งเป็นการฝ่าฝืนต่อพระราชบัญญัติห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พ.ศ.2475 มาตรา 3 (ก) ประกอบประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 654 ย่อมแสดงอยู่ในตัวว่าผู้เสียหายรับข้อเสนอของจำเลยทั้งสามโดยมีเจตนามุ่งต่อผลประโยชน์อันเกิดจากการกระทำที่ผิดกฎหมายของตนถือมิได้ว่าเป็นผู้กระทำโดยสุจริต จะถือว่าเป็นผู้เสียหายโดยชอบด้วยกฎหมายมิได้ ผู้เสียหายจึงไม่มีอำนาจร้องทุกข์ เป็นเหตุให้การสอบสวนไม่ชอบ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 120เจ้าหนี้ให้กู้ยืมเงินคิดอัตราดอกเบี้ยเกินกว่าที่กฎหมายกำหนดถือว่าไม่ใช่ผู้เสียหายโดยนิตินัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7869/2560
โจทก์ร่วมเป็นนายทุนปล่อยเงินกู้ โดยมีเจตนามุ่งประสงค์ต่อผลประโยชน์ที่เรียกดอกเบี้ยเกินอัตราตามกฎหมายอันเป็นความผิดต่อพระราชบัญญัติห้ามเรียกดอดเบี้ยเกินอัตรา พุทธศักราช 2475 ขณะเกิดเหตุ ไม่ว่าจำเลยทั้งสองจะร่วมกันหลอกลวงโจทก์ร่วมหรือไม่ก็ตาม ถือได้ว่าโจทก์ร่วมไม่ใช่ผู้เสียหายโดยนิตินัย ไม่อาจร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์และไม่มีสิทธิร้องทุกข์ต่อเจ้าพนักงานตำรวจให้ดำเนินคดีแก่จำเลยทั้งสองในความผิดฐานฉ้อโกงซึ่งเป็นความผิดอันยอมความได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 2 (4) พนักงานสอบสวนไม่มีอำนาจสอบสวน และพนักงานอัยการโจทก์ย่อมไม่มีอำนาจฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 121 และมาตรา 120 ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ.2499 มาตรา 4 และพระราชบัญญัติให้นำวิธีพิจารณาควาอาญาในศาลแขวงมาใช้บังคับในศาลจังหวัด พ.ศ.2520 มาตรา 3คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 961/2559
แม้ข้อความที่จำเลยแจ้งจะเป็นความเท็จเพราะความจริงโฉนดที่ดินอยู่ที่ ภ. และจำเลยนำรายงานประจำวันรับแจ้งเป็นหลักฐานที่เจ้าพนักงานจดข้อความอันเป็นเท็จไปใช้อ้างเพื่อขอให้ออกใบแทนโฉนดที่ดินก็ตาม แต่ก็เป็นเรื่องที่จำเลยกระทำต่อพันตำรวจโท บ.เจ้าพนักงาน ธ. และ พ. เจ้าพนักงานที่ดิน มิได้กล่าวพาดพิงไปถึง ภ. หรือนำรายงานประจำวันรับแจ้งเป็นหลักฐานที่เจ้าพนักงานจดข้อความอันเป็นเท็จไปใช้อ้างต่อ ภ. อันจะถือว่า ภ. ได้รับความเสียหายโดยตรงจากการกระทำของจำเลย อีกทั้งจำเลยมอบให้มารดานำโฉนดที่ดินทั้งสองฉบับไปเป็นหลักประกันการกู้ยืมเงินกับ ภ. เท่านั้น ซึ่ง ภ. ไม่มีสิทธิที่จะบังคับเอากับโฉนดที่ดินดังกล่าวได้ตามกฎหมาย ภ. จึงมิใช่ผู้เสียหายในความผิดฐานแจ้งให้เจ้าพนักงานจดข้อความอันเป็นเท็จลงในเอกสารราชการ และใช้หรืออ้างเอกสารราชการซึ่งแจ้งให้เจ้าพนักงานผู้กระทำการตามหน้าที่จดข้อความอันเป็นเท็จดังกล่าว ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 2 (4) และไม่มีสิทธิยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 30 การที่ศาลชั้นต้นอนุญาตให้ ภ. เข้าร่วมเป็นโจทก์จึงเป็นการไม่ชอบ เมื่อ ภ. มิใช่คู่ความในคดีจึงไม่มีสิทธิยื่นอุทธรณ์ขอให้ไม่รอการลงโทษจำคุกให้แก่จำเลยได้ ดังนี้ การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 วินิจฉัยอุทธรณ์ของ ภ. จึงเป็นการไม่ชอบเช่นกันทำสัญญากู้ยืมเงินกันภายหลัง สัญญานั้นสามารถทำได้ และใช้เป็นหลักฐานนำสืบในชั้นศาลได้ด้วย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 11489/2554
หลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสือตามมาตรา 653 วรรคหนึ่ง แห่ง ป.พ.พ. ไม่ใช่แบบแห่งนิติกรรม ทั้งกฎหมายไม่ได้บัญญัติว่าหลักฐานดังกล่าวจะต้องมีขึ้นเฉพาะในขณะที่ทำสัญญากู้ยืม ดังนั้น หลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสือจึงอาจมีขึ้นก่อนหรือหลังทำสัญญากู้ยืมก็ได้ เมื่อได้ความว่าหลังจากจำเลยกรอกข้อความในแบบพิมพ์ใบสมัครสินเชื่อบุคคลขอกู้ยืมเงินโจทก์วงเงิน 35,000 บาท ตามเงื่อนไขและข้อตกลงในแบบพิมพ์ดังกล่าวและยื่นต่อโจทก์อันเป็นการทำคำเสนอขอกู้ยืมเงินโจทก์ และวันต่อมาโจทก์แจ้งให้จำเลยทราบว่าตกลงให้จำเลยกู้ยืมเงิน 24,700 บาท ซึ่งอยู่ภายในวงเงินที่จำเลยขอกู้ยืม จึงเป็นคำสนองรับตามคำเสนอของจำเลย สัญญากู้ยืมระหว่างโจทก์และจำเลยจึงเกิดขึ้นและบริบูรณ์ เมื่อโจทก์ส่งมอบเงินที่กู้ยืม โดยโอนเงิน 23,630 บาท เข้าบัญชีที่จำเลยระบุไว้ ดังนี้ ใบสมัครสินเชื่อบุคคลที่จำเลยกรอกข้อความและลงลายชื่อในช่องลายมือของผู้กู้ จึงเป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสือลงลายมือชื่อผู้ยืมตามมาตรา 653 วรรคแรก ที่โจทก์ใช้เป็นหลักฐานฟ้องร้องให้บังคับจำเลยตามสัญญากู้ยืมได้สำนักงานกฎหมายพรเพ็ญ ทนายความ
รับปรึกษา ดำเนินคดี ทางแพ่ง ทางอาญาคดีอนาจาร คดีข่มขืน ยักยอก ฉ้อโกง
การกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกง ฉ้อโกงประชาชน
ตรวจร่างสัญญา จัดทำสัญญากู้ยืม สัญญาซื้อขาย ฯลฯ
รับจัดตั้งผู้จัดการมรดก พินัยกรรม รับทำคดียาเสพติด