ความผิดฐานโกงเจ้าหนี้
ความผิดฐานโกงเจ้าหนี้
เจ้าหนี้ร้องทุกข์ดำเนินคดีกับลูกหนี้ข้อหาฉ้อโกงแล้ว
ต่อมาลูกหนี้โอนที่ดินให้แก่ผู้อื่น แม้จะเป็นบุตรของลูกหนี้ก็ตาม ดังนี้
ลูกหนี้มีความผิดทางอาญาฐานโกงเจ้าหนี้
การร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนของเจ้าหนี้แม้ว่าจะไม่ใช่เป็นการใช้สิทธิเรียกร้องทางศาลให้ชำระหนี้โดยตรง
แต่เมื่อมีการร้องทุกข์แล้วก็ย่อมนำไปสู่การยื่นฟ้องคดีอาญาของพนักงานอัยการ
ซึ่งรวมถึงการเรียกทรัพย์สินหรือราคาที่เจ้าหนี้ต้องสูญเสียไปเนื่องจากการกระทำความผิดแทนเจ้าหนี้ด้วย
ดังนี้
การร้องทุกข์ของเจ้าหนี้จึงเป็นการจะใช้สิทธิเรียกร้องทางศาลให้ชำระหนี้อีกกรณีหนึ่ง
เมื่อลูกหนี้รู้ว่าเจ้าหนี้ได้ใช้หรือจะใช้สิทธิดังกล่าวแล้วยังโอนทรัพย์สินให้ผู้อื่น
โดยมีมูลเหตุจูงใจเพื่อไม่ให้เจ้าหนี้ได้รับชำระหนี้ทั้งหมดหรือแต่บางส่วน
ลูกหนี้จึงมีความผิดทางอาญาฐานโกงเจ้าหนี้ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 350
พิพากษาศาลฎีกาที่ 8905/2561 (เดินตาม คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3973/2551)
โจทก์ไปร้องทุกข์ดำเนินคดี
แก่จำเลยข้อหาฉ้อโกงก่อนวันที่จำเลยโอนที่ดินให้แก่บุตรทั้งสองของจำเลยการร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนของโจทก์ย่อมนำไปสู่การยื่นฟ้องคดีอาญาของพนักงานอัยการซึ่งรวมถึงการเรียกทรัพย์สินหรือราคาที่โจทก์ต้องสูญเสียไปเนื่องจากการกระทำความผิดของโจทก์ด้วยตามปอวิอาญามาตรา
43 อีกทั้งเมื่อพนักงานอัยการยื่นฟ้องคดี
โจทก์จะยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการตามประมวลกฎหมายวิอาญามาตรา
30 หรือไม่ก็ได้
ดังนั้นโดยการร้องทุกข์ของโจทก์และไม่ว่าต่อมาโจทก์จะยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์หรือไม่
ก็มีผลเป็นการเรียกร้องทรัพย์สินหรือราคาที่โจทก์สูญเสียไปจากการกระทำความผิดคืนโดยพนักงานอัยการดำเนินการแทนแล้วโจทก์ไม่จำต้องทวงถามหรือฟ้องคดีแพ่งเพื่อบังคับชำระหนี้อีก
การร้องทุกข์ของโจทก์จึงเป็นกรณีที่โจทก์จะใช้สิทธิเรียกร้องทางศาลให้จำเลยชำระหนี้แล้ว
เมื่อจำเลยมีเจตนาทุจริตยักยอกเงินโจทก์และโจทก์ได้ร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนให้ดำเนินคดีแก่จำเลยแล้วจำเลยจึงรู้แล้วว่าโจทก์จะใช้สิทธิเรียกร้องทางศาลให้ชำระหนี้การที่จำเลยโอนที่ดินให้แก่บุตรทั้งสองของจำเลยจึงเป็นไปเพื่อมิให้โจทก์ได้รับชำระหนี้การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดตามฟ้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3973/2551
การร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนของโจทก์ไม่ใช่เป็นการใช้สิทธิเรียกร้องทางศาลให้ชำระหนี้
แต่เมื่อร้องทุกข์แล้ว พนักงานอัยการได้ฟ้องจำเลยที่ 1 และขอให้จำเลยที่ 1
คืนหรือใช้เงินจำนวน 135,008,163.92 บาท มาด้วย
ทั้งโจทก์ได้ยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ในคดีดังกล่าวและศาลชั้นต้นอนุญาต
ดังนี้ จึงมีความหมายโดยนิตินัยว่าโจทก์ได้ฟ้องจำเลยที่ 1
ในคดีดังกล่าวและมีคำขอให้บังคับจำเลยที่ 1 คืนหรือใช้เงินจำนวน 135,008,163.92 บาท ด้วย
เท่ากับว่าโจทก์ได้ใช้สิทธิเรียกร้องทางศาลให้จำเลยที่ 1 ชำระหนี้แล้ว
ขณะจำเลยที่ 1 จดทะเบียนโอนที่ดินให้แก่จำเลยที่ 2
จำเลยทั้งสองได้หย่ากันแล้ว ทั้งจำเลยทั้งสองได้ตกลงกันว่าให้จำเลยที่ 2
ไปดำเนินการโอนที่ดินเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่ 2 แต่เพียงผู้เดียว
หลังจากนั้นจำเลยที่ 2 ยังนำที่ดินไปจำนองด้วย
แสดงว่าจำเลยทั้งสองมีเจตนาโอนที่ดินไปเพื่อมิให้โจทก์เจ้าหนี้ของจำเลยที่ 1
ได้รับชำระหนี้ประกอบกับคำว่าผู้อื่นตาม ป.อ. มาตรา 350
หมายถึงบุคคลอื่นนอกจากตัวลูกหนี้ การที่จำเลยที่ 1
ซึ่งเป็นลูกหนี้ของโจทก์โอนที่ดินให้แก่จำเลยที่ 2 ผู้ซึ่งมิได้เป็นลูกหนี้ ของโจทก์จึงเป็นการโอนทรัพย์สินไปให้แก่ผู้อื่นแล้ว
ส่วนต่อมาโจทก์สามารถสืบหาติดตามทรัพย์สินนำมาบังคับคดีได้หรือไม่ เพียงใด
เป็นอีกเรื่องหนึ่งต่างหากจำเลยทั้งสองจึงมีความผิดฐานโกงเจ้าหนี้ตามมาตรา 350